การพัฒนาการและความพร้อม : ด้านร่างกายอารมณ์ – จิตใจ และสังคม
ความพร้อมทางการเรียน หมายถึง สภาพความพร้อมในด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ – จิตใจ และสติปัญญาของเด็กที่จะเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างบังเกิดผล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะ หรือ การฝึกฝนหรือทั้งสองอย่างประกอบกันก็ได้
พัฒนาการและความพร้อมทางด้านร่างกาย
จุดมุ่งหมายของการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกาย
การจัดประสบการณ์หรือการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายให้แก่เด็กในระดับชั้นอนุบาลศึกษา มีจุดมุ่งหมาย ดังนี้ (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2537ก : 3)
1. มีร่างกายเจริญเติบโตตามวัย
2. พัฒนากล้ามเนื้อและประสาทสัมพันธ์
3. มีสุขนิสัยในการรักษาสุขภาพอนามัย
4. เรียนรู้การระวังและรักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า จุดมุ่งหมายของการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายเพื่อต้องการให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ มีน้ำหนัก ส่วนสูงตามเกณฑ์ที่กำหนด สามารถใช้กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง การกระโดด ใช้มือรับสิ่งของ ตัดกระดาษ วาดภาพ หรือใช้เชือกร้อยวัสดุขนาดเล็ก – ใหญ่ได้
การวัดและประเมินความพร้อมทางด้านร่างกาย
การวัดและประเมินความพร้อมทางด้านร่างกาย จะวัดและประเมินใน 3 ส่วน คือ การเจริญเติบโตและภาวะโภชนาการ การทำงานของกล้ามเนื้อใหญ่ และการทำงานของกล้ามเนื้อเล็กและประสาทสัมพันธ์ ซึ่งพฤติกรรมที่จะวัดและประเมินมีดังนี้
1. การเจริญเติบโตและภาวะโภชนาการ ระยะวัยทารกขนาดของร่างกายของเด็กจะเพิ่มขนาดทุกส่วนโดยเฉพาะประสาทและสมองจะมีอัตราสูงสุดในวัยแรกเกิดถึงช่วงปฐมวัย เส้นรอบวงศีรษะ (Fronte Occipital Circumference) ซึ่งเป็นส่วนของร่างกายที่ใหญ่ที่สุดในทารกแรกเกิด เทียบได้เป็น 2/8 หรือ ¼ ของส่วนสูงทั้งหมด แล้วจะค่อย ๆ ลดอัตราการเพิ่มขนาดลงจนเมื่ออายุ 18 ปี ศีรษะจะมีขนาดเป็น 1/8 ของส่วนสูงทั้งหมด (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 2535 : 39) เด็กอายุ 3 – 5 ปี จะมีขนาดเส้นรอบวงศีรษะประมาณ 49.5 – 52.1 เซนติเมตร มีความสูงประมาณ 96-116 เซนติเมตร และจะมีน้ำหนักประมาณ 4-6 เท่าของน้ำหนักแรกเกิด
ตาราง 3.1 อัตราการเจริญเติบโตของเด็กตั้งแต่แรกเกิด - 6 ปี
อายุ
|
น้ำหนัก
(Kg)
|
ส่วนสูง
(Cm)
|
ขนาดเส้นรอบวงศีรษะ (Cm)
|
แรกเกิด
|
3
|
50
|
33 – 35
|
4 – 5 เดือน
|
6
|
65
|
40
|
1 ปี
|
9
|
76
|
46
|
2 ปี
|
12
|
87
|
48.5
|
3 ปี
|
14
|
96
|
49.5
|
4 ปี
|
15
|
103
|
51
|
5 ปี
|
16.5
|
108
|
52.1
|
6 ปี
|
18
|
116
|
53.1
|
2. การทำงานของกล้ามเนื้อใหญ่ เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประสานงานของกล้ามเนื้อใหญ่ หรือกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ได้แก่ การเดินตามเส้นที่กำหนดการกระโดดสองเท้า การปีนป่าย การเตะบอล การขว้างลูกบอล การเดินสลับเท้าขึ้น – ลงบันได เป็นต้น
เครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินพัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ อาจแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ
2.1 การสังเกตและจดบันทึก ครูผู้สอนชั้นอนุบาลศึกษา อาจใช้วิธีการสังเกตทักษะความสามรถในการใช้กล้ามเนื้อใหญ่บริเวณแขน ขา ในขณะวิ่งเล่น หรือการเล่นเครื่องเล่นสนามแล้วจดบันทึกพฤติกรรมที่สังเกตได้เอาไว้ เพื่อประโยชน์ในการจัดกิจกรรมให้กับเด็กแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม
2.2 การสัมภาษณ์ผู้ปกครอง ครูผู้สอนอาจพูดคุยซักถามผู้ปกครองถึงความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ของเด็กในขณะอยู่ที่บ้าน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบการประเมินพัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ของเด็ก
3. การทำงานของกล้ามเนื้อเล็ก เป็นความสามารถของการทำงานที่ประสานกันระหว่างประสาทและกล้ามเนื้อ ร่างกายจะแสดงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับการทำงานที่ประสานกันของระบบประสาท ซึ่งได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างประสาทตากับกล้ามเนื้อมือ ตัวอย่างพฤติกรรมของนักเรียนชั้นอนุบาลศึกษาปีที่สอง ได้แก่ การเป็นวัสดุเป็นรูปต่าง ๆ อย่างอิสระโดยมีเค้าความจริงและมีรายละเอียด ใช้เชือกร้อยวัสดุได้ ตัดกระดาษตามแนวเส้นตรงและเส้นโค้งได้ เทน้ำหรือทรายเต็มแก้ว หรือกรอกใส่ขวดได้ พับกระดาษตามรอยประทแยงมุม 3 ทบได้ การวางบล็อกขนาด 1 ´ 1 นิ้ว เรียงซ้อนกันได้ประมาณ 10 ก้อน วาดรูป ตามแบบได้ (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2537ก : 14 – 15)
เครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินพัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อเล็ก แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ
3.1 การสังเกตและจดบันทึก
3.2 การใช้แบบทดสอบ
3.3 การตรวจผลงานเด็ก
3.4 การสัมภาษณ์ผู้ปกครอง
3.1 การสังเกตและจดบันทึก ครูผู้สอนชั้นอนุบาลศึกษาอาจจะใช้วิธีการสังเกตทักษะความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็กและประสาทสัมพันธ์ในขณะที่เด็กทำกิจกรรม เช่น การร้อยลูกปัด การต่อบล็อก การระบายสี การตัดกระดาษตามรอย เป็นต้น แล้วบันทึกผลที่ได้จากการสังเกตลงในแบบบันทึกเอาไว้ เพื่อประโยชน์ในการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมหรือเพื่อส่งเสริมพัฒนาการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
3.2 การใช้แบบทดสอบ ครูผู้สอนชั้นอนุบาลศึกษาอาจจะใช้แบบทดสอบ เพื่อวัดและประเมินพัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อเล็กและประสาทสัมพันธ์ แบบทดสอบนี้ส่วนมากมักจะเป็นแบบทดสอบที่ให้เด็กลากเส้นชนิดต่าง ๆ หรือวาดรูปภาพตามแบบ ซึ่งแบ่งออกได้ ดังนี้
3.2.1 การลากเส้นตามรอย วิธีการนี้จะมีรอยเส้นประมาณให้ ให้นักเรียนลากเส้นทับรอยเส้นประอย่างต่อเนื่อง หรือไม่ขาด โดยไม่ยกดินสอ
3.2.2 การลากเส้นตามรอยให้เหมือนแบบ วิธีการนี้จะกำหนดแบบ หรือรูปภาพมาให้ ให้นักเรียนลากเส้นตามรอยเส้นประให้เหมือนแบบ
3.2.3 ลากเส้นระหว่างจุดให้เหมือนแบบ วิธีการนี้จะกำหนดแบบมาให้ แล้วให้นักเรียนลากเส้นระหว่างจุดให้เหมือนแบบ
3.2.4 ลากเส้นให้อยู่ในกรอบ วิธีการนี้จะกำหนดกรอบขนาดประมาณ 1/4 นิ้ว ถึง ½ นิ้ว มาให้ ให้นักเรียนลากเส้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่ยกดินสอ และเส้นที่ลากอยู่ในกรอบที่กำหนด
3.2.5 การระบายสีให้อยู่ในกรอบ วิธีการนี้จะกำหนดรูปภาพมาให้ แล้วให้นักเรียนระบายสีรูปภาพที่กำหนด โดยสีที่ระบายไม่ออกนอกกรอบ
3.2.6 การวาดรูปให้เหมือนแบบ วิธีการนี้จะมีรูปภาพที่เป็นแบบมาให้ แล้วให้นักเรียนวาดภาพให้เหมือนกับแบบที่กำหนด
3.2.7 การลากเส้นทับจุด วิธีการนี้จะมีจุดและสร้างรูปเป็นแบบมาให้ แล้วให้นักเรียนลากเส้นตามจุดให้เหมือนกับแบบที่กำหนด
3.2.8 การต่อเติมภาพให้สมบูรณ์ วิธีการนี้จะกำหนดรูปภาพที่สมบูรณ์และรูปภาพที่ไม่สมบูรณ์มาให้แล้วให้นักเรียนต่อเติมรูปภาพที่ไม่สมบูรณ์ให้มีความสมบูรณ์เหมือนกับรูปภาพที่กำหนด
3.3 การตรวจผลงานเด็ก ครูผู้สอนชั้นอนุบาลศึกษาอาจจะประเมินพัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อเล็กและประสาทสัมพันธ์ของเด็กโดยการดูจากผลงานที่เด็กทำขึ้น เช่น การลากเส้นชนิดต่าง ๆ การวาดภาพระบายสี การวาดภาพตามแบบ การติดกระดุม การูดซิป การรินน้ำ เป็นต้น
3.4 การสัมภาษณ์ผู้ปกครอง ครูผู้สอนชั้นอนุบาลศึกษาอาจจะประเมินโดยการซักถามกับผู้ปกครองถึงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับทักษะความสามารถทางด้านการใช้กล้ามเนื้อเล็กและประสาทสัมพันธ์ ว่ามีมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างพฤติกรรมได้แก่ การแต่งตัว การติดกระดุม การใส่รองเท้า – ถุงเท้า การรับประทานอาหาร การรินน้ำ เป็นน้ำ
พัฒนาการและความพร้อมทางด้านอารมณ์ – จิตใจ
พัฒนาการทางด้านอารมณ์ – จิตใจของเด็กปฐมวัย (อายุ 3 – 6 ปี)
เด็กวัยนี้มักจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิด และโกรธง่าย โมโหร้ายโดยปราศจากเหตุผล มักจะแสดงอาการขัดขืนและดื้อดึงต่อพ่อแม่เสมอ เป็นวัยที่เรียกว่า ชอบปฏิเสธ ซึ่งเป็นลักษณะธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ เรียกว่า Nagative Stage เมื่อเด็กคบหาสมาคมกับเพื่อน ๆ อารมณ์ดังกล่าวจะค่อย ๆ หายไป อย่างไรก็ตามพัฒนาการทางอารมณ์ – จิตใจของเด็กจะมั่นคงเพียงใด ขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูเป็นสำคัญ
พัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัยสรุปเป็นเรื่อง ๆ ได้ดังนี้
1. ความโกรธ (Anger) อารมณ์โกรธของเด็กวัยนี้มักเกิดขึ้นได้ง่าย เนื่องจากมีสิ่งเร้าหลายประการเข้ามาเราให้เด็กโกรธ เช่น ถูกขัดใจเรื่องของเล่น ถูกรังแก เป็นต้น
2. อารมณ์กลัว (Fear) เนื่องจากเด็กวัยนี้มีสติปัญญาพัฒนาขึ้นทำให้หวาดกลัวสิ่งต่าง ๆ มากกว่าเด็กวัยเด็กเล็ก เพราะว่ามองเห็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับตนได้
3. ความอิจฉาริษยา (Jealosy) ความอิจฉาริษยาของเด็กวัยนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพ่อ แม่ พี่น้อง หรือคนเลี้ยงหันไปสนใจและเอาใจใส่น้องเล็กมากกว่าตน
4. ความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) เด็กวัยนี้มีความอยากรู้อยากเห็นและจะสงสัยสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่รู้จบสิ้น โดยเฉพาะเมื่ออายุประมาณ 6 ปี เด็กจะถามมากที่สุด
5. ความรัก (Love) ความรักของเด็กวัยนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเด็กก่อน คือ รักตนเองก่อนและต่อมาจึงมีจิตใจรักผู้อื่น ในเด็กอายุ 5 ปี นั้น มารดาจะกลายเป็นศูนย์กลางของชีวิตในโลกของเด็ก เด็กจะชอบอยู่ใกล้ ๆ แม่ ติดตามแม่ไปทุกหนทุกแห่ง แต่พออายุ 6 ปี เด็กจะหันมาชื่นชมและนิยมพ่อมากกว่าแม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น